Gold Futures มีข้อกำหนดหลักๆ คือ เขาเป็นสัญญาจะซื้อ/จะขายทองคำ โดย 1 สัญญาจะเท่ากับ 10 บาททองคำ หรือ 50 บาททองคำ โดยการซื้อใช้เงินประมาณ 10% ของมูลค่าจริงหรือตามแต่ประกาศของ TFEX ซึ่งขึ้นอยู่กับความผันผวนของราคาทองคำในตลาด ณ ขณะนั้นๆ
ข้อดีของการซื้อ Gold Future
- ต้นทุนการจัดการที่ต่ำกว่า
การซื้อ Gold future แต่ละครั้งจะมีค่าคอมมิชชั่นขั้นต้น 450 บาท + Vat 7% หรือ 481.50 บาท หรือปัดเป็นตัวเลขกลมๆ ก็ 500 บาท ดังนั้นต้นทุนในการซื้อและขาย Gold future contract ไปกลับ 1 รอบจะมีต้นทุนการจัดการประมาณ 1,000 บาท ในขณะที่ส่วนต่างของราคาซื้อขายทองคำแท่ง 10 บาทตามหน้าร้านขายทองอยู่ที่ 1,000 บาท เช่น ณ วันที่ 14 ตุลาคม ราคาขายทองคำแทงอยู่ที่บาทละ 24,500 บาทในขณะที่ราคารับซื้อคืนอยู่ที่ 24,400 บาท มีส่วนต่าง(หรือต้นทุนเกิดขึ้น) 100 บาทต่อ 1 บาททองคำ แต่ถ้าซื้อกันที่ 50 บาททองคำต้นทุนส่วนต่างของการซื้อทองจริงจะเท่ากับ 5,000 บาทหรือแพงกว่าซื้อ Gold Future contract ถึง 5 เท่าที่เดียว
นั่นแสดงว่าถ้าคุณซื้อ Contract ครั้งละ 50 บาททองคำ คุณจะสามารถประหยัดต้นทุนส่วนต่างไปได้ถึง 4,000 บาทที่เดียวแล้วถ้าครั้งหนึ่งคุณซื้อมากกว่ากว่า 1 Contract นั่นก็ยิ่งหมายความว่าคุณสามารถประหยัดส่วนต่างตรงนี้ลงไปได้อีกเพราะค่าจัดคิดเป็นไป/กลับ 1 ครั้งที่ทำการซื้อขาย ไม่สนใจว่าจะซื้อที่กี่ Contract
2. คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง
ในช่วงตลาดขาขึ้นอันนี้คงเข้าใจได้ไมยากนักก็เป็นการซื้อถูกขายแพงนั่นเอง ส่วนตลาดขาลงหรือเราคาดการณ์ว่ามูลค่าในอนาคตของทองคำนั้นจะลดลงเราก็สามารถทำการขายออกไปก่อนที่ราคาแพงแล้วค่อยซื้อมาใช้คืนตอนที่ราคาถูกลงในอนาคตนั่นเอง ภาพอย่างหลังคงจะเห็นได้ชัดมาขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาของทองคำที่มีราคาตกลงอยากรวดเร็วซึ่งก็มีหลายคนที่สามารถทำกำไรจากการลงของราคาทองคำได้ แต่อีกหลายคนก็ขาดทุนกันไม่น้อยที่เดียวเพราะในตลาดนี้เป็นแบบ Zero Sum Game ครับนั่นคือมีคนหนึ่งได้ก็ต้องมีอีกคนหนึ่งที่เสีย
3. สัดส่วนกำไรหรือขาดทุนที่เกิดขึ้นมากเป็น 10 เท่าตัวของเงินลงทุน
ด้วยลักษณะของการซื้อขายแบบ Margin คือลงเงินแค่ 10% ของเงินที่ต้องจ่ายจริงเท่านั้น ทำให้การได้กำไรต่อครั้งเมื่อเทียบกับเงินที่ลงไปแล้วนั้นมันดูมากมายทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันเมื่อขาดทุนมันก็ไม่น้อยเช่นอันกัน อันนี้ต้องพึ่งตระหนักให้มากนะครับอย่ามองแต่ด้านได้เพียงอย่างเดียว
ผมว่าหลายๆ ท่านที่กำลังติดตามและอ่านบทความของผมอยู่นั้น ถ้าคิดจะลงทุนใน Gold Futures ผมคิดว่าเราๆ ท่านๆ จะอยู่ในค่ายเดียวกันคือเป็นนักเก็งกำไร มากกว่า ดังนั้นผมแนะนำให้แต่ละท่านศึกษารายละเอียดให้ดีๆเพราะแตกต่างจากการลงทุนในทองคำจริงหลายอย่างครับ และเหมาะกับการทำกำไรระยะสั้นดังนั้นจึงต้องคอยติดตามราคาโดยตลอด และยังมีคำศัพท์ทางเทคนิคอยู่หลายตัวที่เดียวที่ท่านๆ ควรจะรู้ไว้เพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น ตัวอย่างเข่น
Long คือการทำสัญญาว่าจะซื้อ
Short คือการทำสัญญาว่าจะขาย
Cash Settlement รอชำระราคาและส่งมอบใน ส่วนต่างของมูลค่าเมื่อสัญญาครบกำหนด
Margin คำนี้สำคัญมากๆในการลงทุนในลักษณะนี้ Margin คือการวางเงินประกันในวันที่ตกลงจะซื้อขาย แบ่งได้เป็น
IM (Initial Margin) เป็นการเรียกเก็บเงินประกันเริ่มแรกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นคือเพียง 10 % ซึ่งผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับกำไร หรือขาดทุนเป็นจำนวนมากเมื่อเทียบกับเงินประกันที่วางไว้ โดย Gold Futures กำหนดให้วางเงิน IM ที่ 104,500 บาทสำหรับ 50 บาทองคำ แต่เงินเท่านี้ยังไม่สามารถเทรดได้นะครับ ยังมีค่าคอมมิชชั่นอีก 450บาท +ภาษีอีก 7% เท่ากับต้องมีการวางเงิน รวมกันทั้งสิ้น 104,981.50 บาท ถึงจะทำการจะซื้อหรือจะขายทองคำได้ 1 สัญญานะครับ( 1 สัญญาเทียบกับทองคำน้ำหนัก 50 บาท)
MM (Maintenance Margin) คือหลักประกันรักษาสภาพ แปลง่ายๆคือ เราต้องรักษาระดับเงินในบัญชีไม่ให้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือ 70 % ตัวอย่างการคำนวณ คือเงิน IM 104,500บาทx70% = 73,150 บาท
ถ้าเงินในบัญชีต่ำกว่านี้เมื่อไหร่ ต้องหาเงินมาเติมให้เต็ม 73,150 บาท ทุกครั้ง โดยทุกวันจะมีการ (Mark to Market)คือเช็คยอดเงินในบัญชีตอนเย็นของทุกวันว่าลดลงมาต่ำกว่า MM หรือยังถ้าถึงก็จะมีเจ้าหน้าที่โทรมาตาม ให้เราเติมเงินภายในวันรุ่งขึ้น(T+1)ก่อน 15.55 น.คือก่อนปิดตลาด 1 ชม.พอดีครับ จึงอยากแนะนำให้เปิดบัญชีไว้มากกว่าที่ต้องซื้อ Contract หน่อย เพราะเวลาตลาดผันผวนหากเงินลดลงต่ำกว่า I M แค่นิดเดียว ก็จำเป็นต้องโอนเงินเข้ามาให้เต็มตามระเบียบแม้ว่าจะมีการดีดกลับของราคาในเวลาต่อมาก็ตามครับ
FC (Force Close) คือกรณีที่เงินหลักประกันลดต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดคือ 30 % ตัวอย่างการคำนวณคือเงิน IM 104,500บาทx30% = 31,350 บาท กรณีนี้ Broker มีสิทธิปิดสถานะ(ซื้อหรือขาย)ของท่าน เพื่อหยุดผลขาดทุนให้ลูกค้าได้ทันที หรือ ให้เวลาลูกค้าเติมเงินเข้ามาภายในเวลา 1 ชม.
เอาละครับแค่คงจะเริ่มเครียดๆ กันแล้วเอาไว้เรามาอ่านกันต่อคราวหน้าดีกว่านะครับ