เป้าหมายของเราส่วนใหญ่คือการมีเงินทองใช้ได้ตามที่ต้องการไม่ขาดมือ หรือภาษาทางการที่อาจจะได้ยินกันบ่อยๆ คือ “การสร้างความมั่งคั่ง” (Wealth management) ให้กับตัวเองและครอบครัวรวมไปถึงการส่งต่อความมั่งคั่งนั้นให้กับลูกหลานในอนาคต
“ความมั่งคั่ง” ว่ามีความหมายและมีวิธีการวัดได้อย่างไรว่าเรามีความมั่งคั่งเพียงพอ
“ความมั่งคั่ง” เท่ากับ ทรัพย์สินทั้งหมดที่มี -หนี้สินทั้งหมดที่มี
หรือพูดง่ายๆ คือถ้าวันนี้คุณต้องชำระหนี้สินทั้งหมดที่มีแล้วคุณยังจะมีอะไรเหลือติดตัวอยู่อีกบ้าง ถ้ายังมีเหลือแสดงว่าใช้ได้แต่ถ้าไม่เหลือและยังติดลบอีก คงต้องรีบมาวางแผนกันแล้วล่ะครับ การวัดความมั่งคั่งหรือความร่ำรวยของตัวเองนั้น ผมแนะนำให้ประเมินกันเป็นระยะประจำนะครับ เช่นทุก 3 เดือน 6 เดือนหรืออย่างน้อยปีละครั้งเป็นต้น เนื่องจากบางทีเราอาจจะก่อหนี้ขึ้นมาโดยที่ไม่ระวัง ดังนั้นการติดตามเป็นระยะๆ จะเป็นการเฝ้าระวังที่ปลอดภัยกว่าครับ
ที่นี้เราลองมาดูตัวอย่างกันของสิ่งที่เราเรียกว่าสินทรัพย์ กับหนี้สินส่วนบุคคลกันหน่อยว่าน่ามีอะไรบ้าง
สินทรัพย์ |
หนี้สิน |
เงินสดในมือ | วงเงินที่ใช้ไปในบัตรเครดิต,
วงเงินที่ใช้จากบัตรกดเงินสดต่างๆ |
เงินสดในธนาคาร | ที่ดิน,บ้าน หรือ คอนโด(ที่ยังผ่อนไม่หมด) |
กองทุนต่างๆ | รถ(ที่ยังผ่อนไม่หมด) |
หุ้น | เงินกู้ทั้งจากสถานบันและบุคคลทั่วไป |
ทองคำ,เครื่องเพชร | |
ที่ดิน,บ้าน หรือ คอนโด(ที่ผ่อนชำระหมดแล้ว 100%) | |
รถ(ที่ผ่อนชำระหมดแล้ว 100%) | |
ของสะสมต่างๆ เช่น พระเครื่อง, ของเก่า |
ถ้าอ่านในตารางจะเห็นได้ว่า บ้าน หรือ รถ นั้นอยู่ได้ทั้ง 2 ฝั่งจะเป็นสินทรัพย์ หรือหนี้สินก็ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจ่ายเขาหมดแล้วหรือยัง ซึ่งหลักในการคิดว่าอะไรเป็นสินทรัพย์ในแบบของผม คือ เงิน สิ่งของ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่เรามั่นใจว่าเป็นของเรา 100% และมีมูลค่าถ้าคิดจะขาย อย่างของสะสมบางคนสะสมพระเครื่องถ้านำไปให้เช่าในตลาดพระก็มีอาจราคาหลายเท่าตัวอยู่กว่าตอนที่เช่ามาครั้งแรกก็ได้ ซึ่งมูลค่าจะขึ้นหรือลงนั้นอยู่กับตลาดกำหนดว่ามีคนสนใจมากน้อยแค่ไหน ณ วันที่เราทำการประเมินความมั่งคั่ง พระรุ่นที่เรามีอาจจะมีมูลค่า 1 หมื่นบาท แต่ 10 ปีให้หลังอาจจะมีมูลค่าเป็นหลายล้านบาทก็เป็นได้